ความหมายของนาม นามศัพท์ คำนาม

นาม (นาม-นาม-name) แปลว่า ชื่อ

ศัพท์ (สทฺท-ศพฺท-sound) แปลว่า เสียง

ในทางภาษา ศัพท์ หมายถึง เสียง (หรือ ตัวหนังสือ ที่ใช้แทนเสียงนั้น) ที่มีความหมายเป็นที่เข้าใจกัน ใช้พูดหรือเขียนสื่อสารกันได้

ประเภทของคำนาม

นาม นามศัพท์ หรือ คำนาม ในภาษาบาลี  แบ่งเป็น 3 คือ

  1. นามนาม
  2. คุณนาม
  3. สัพพนาม

(นาม/นามศัพท์/คำนาม เป็นเพียง ‘ชื่อ’ สำหรับเรียกรวมคำเหล่านี้  แต่เมื่อพูด/เขียน แต่ละคำก็มีหน้าที่ของตนเอง)

1. นามนาม หมายถึง นามหรือชื่อที่ใช้เรียกคน, สัตว์, ที่, สิ่งของ, สภาวะ ต่างๆ   แบ่งเป็น 2  คือ

  1. สาธารณนาม หมายถึง ชื่อที่ใช้เรียกได้ทั่วไป ไม่เจาะจง  สำหรับเรียกคน, สัตว์, สถานที่, สภาวะ ต่างๆ เป็นต้น เช่น
    มนุสฺโส มนุษย์ ใช้เรียกมนุษย์ได้ทุกคน,  ติรจฺฉาโน สัตว์ดิรัจฉาน,  นครํ เมือง,  สนฺติ ความสงบ เป็นต้น ก็เช่นกัน
  2. อสาธารณนาม หมายถึง ชื่อที่ใช้เรียกเฉพาะเจาะจง ไม่ทั่วไป  เช่น
    ทีฆาวุ กุมารชื่อทีฆาวุ ใช้เรียกเฉพาะกุมารที่ชื่อว่า ทีฆาวุ,  เอราวโณ ช้างชื่อเอราวัณ,  สาวตฺถี เมืองชื่อสาวัตถี เป็นต้น ก็เช่นกัน

2. คุณนาม หมายถึง นามที่แสดงลักษณะของนามนาม*  ให้รู้ว่าดีหรือชั่ว เป็นต้น  แบ่งเป็น 3 ชั้น คือ

  1. ชั้นปกติ  แสดงลักษณะของนามนามอย่างปกติ เช่น ดี, ชั่ว, สูง (ไม่เปรียบเทียบกับอะไร)
  2. ชั้นวิเสส  แสดงลักษณะของนามนาม พิเศษกว่าปกติ เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นๆ เช่น ดีกว่า, ชั่วกว่า, สูงกว่า
    ในภาษาบาลี ใช้ อติ นำหน้า   หรือใช้ ตร อิย อิยิสฺสก ต่อท้ายคุณนามชั้นปกติ
  3. ชั้นอติวิเสส  แสดงลักษณะของนามนาม พิเศษมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นๆ เช่น ดีที่สุด, ชั่วที่สุด, สูงที่สุด
    ในภาษาบาลี ใช้ อติวิย นำหน้า   หรือใช้ ตม อิฏฺฐ ต่อท้ายคุณนามชั้นปกติ
    * รวมทั้งปุริสสัพพนาม

ดูรายละเอียดเรื่อง คุณนาม

3. สัพพนาม หมายถึง นามที่ใช้แทนนามนามที่ออกชื่อมาแล้ว เพื่อไม่ให้ซ้ำซาก  ซึ่งไม่เพราะหู เป็นต้น  แบ่งเป็น 2 คือ

  1. ปุริสสัพพนาม
  2. วิเสสนสัพพนาม

ดูรายละเอียดเรื่อง สัพพนาม

นามศัพท์ ทั้ง 3 นี้ เมื่อจะนำไปใช้ในประโยค ย่อมประกอบด้วย

  1. ลิงค์ *
  2. วิภัตติ
  3. วจนะ

* ความจริง ลิงค์เป็นลักษณะประจำของนามนามแต่ละศัพท์อยู่แล้ว แม้ยังไม่ประกอบเข้าในประโยค   เช่น ชน เป็นปุงลิงค์  เมื่อใช้เป็นประธานในประโยค ได้รูปเป็น ชโน (ปฐมาวิภัตติ เอกวจนะ)

 

ลิงค์

ลิงค์ แปลว่า เพศ  หมายถึง  เพศของคำนาม

ลิงค์แบ่งเป็น 3  คือ

  1. ปุงลิงค์    เพศชาย
  2. อิตถีลิงค์    เพศหญิง
  3. นปุงสกลิงค์    ไม่ใช่เพศชาย ไม่ใช่เพศหญิง

ลิงค์ของนามนาม

  1. เป็นลิงค์เดียว คือศัพท์เดียว เป็นได้ลิงค์เดียว  เช่น 
    ปุริโส  บุรุษ  เป็นปุงลิงค์ได้อย่างเดียว,   อิตฺถี  หญิง  เป็นอิตถีลิงค์ได้อย่างเดียว,  กุลํ ตระกูล เป็นนปุงสกลิงค์ได้อย่างเดียว  เป็นต้น
  2. เป็น 2 ลิงค์ (ทวิลิงค์)
  • ศัพท์เดียว มีรูปอย่างเดียว เป็นได้ 2 ลิงค์   เช่น  อกฺขร: อกฺขโร (ปุ.) อกฺขรํ (นปุ.) อักขระ,  มน: มโน (ปุ.) มนํ (นปุ.) ใจ
  • นามนามมีมูลศัพท์อย่างเดียว เปลี่ยนสระที่สุดศัพท์เป็นเครื่องหมายให้ต่างลิงค์กัน (โดยลง อา อี อินี ปัจจัย เครื่องหมายอิตถีลิงค์)   เช่น 
    ราช: ราชา (ปุ.), ราชินี (อิต.)อุปาสก: อุปาสโก (ปุ.),  อุปาสิกา (อิต.)  เป็นต้น

ลิงค์ของคุณนามและสัพพนาม

คุณนามและสัพพนามเป็นได้ทั้ง 3 ลิงค์ 

 

ตัวอย่าง นามนามเป็นลิงค์เดียว

ปุงลิงค์   อิตถีลิงค์   นปุงสกลิงค์  
อมโร เทวดา อจฺฉรา นางอัปสร องฺคํ องค์
อาทิจฺโจ พระอาทิตย์ อาภา รัศมี อารมฺมณํ อารมณ์

ตัวอย่าง นามนามศัพท์เดียว มีรูปเดียว เป็นได้ 2 ลิงค์

ศัพท์เดิม ปุงลิงค์ นปุงสกลิงค์ คำแปล
อกฺขร อกฺขโร อกฺขรํ อักขระ, อักษร
อคาร/อาคาร อคาโร/อาคาโร อคารํ/อาคารํ เรือน, อาคาร
อุตุ อุตุ อุตุ ฤดู
ทิวส ทิวโส ทิวสํ วัน
มน มโน มนํ ใจ
สํวจฺฉร สํวจฺฉโร สํวจฺฉรํ ปี

ตัวอย่าง นามนามมีมูลศัพท์เป็นอย่างเดียว เปลี่ยนสระที่สุด (โดยลงอิตถีโชตกปัจจัย) เป็น 2 ลิงค์

ศัพท์เดิม ปุงลิงค์ อิตถีลิงค์ คำแปล
อรหนฺต อรหา อรหํ อรหนฺตี พระอรหันต์
อาชีวก อาชีวโก อาชีวิกา นักบวช
อุปาสก อุปาสโก อุปาสิกา อุบาสก, อุบาสิกา
กุมาร กุมาโร กุมารี/กุมาริกา เด็ก
ขตฺติย ขตฺติโย ขตฺติยานี/ขตฺติยา กษัตริย์
โคณ โคโณ คาวี โค
โจร โจโร โจรี โจร
ญาตก ญาตโก ญาติกา ญาติ
ตรุณ ตรุโณ ตรุณี ชายหนุ่ม, หญิงสาว
เถร เถโร เถรี พระเถระ, พระเถรี
ทารก ทารโก ทาริกา เด็กชาย, เด็กหญิง
เทว เทโว เทวี พระเจ้าแผ่นดิน พระราชเทวี
นร นโร นารี คน (ชาย - หญิง)
ปริพฺพาชก ปริพฺพาชโก ปริพฺพาชิกา นักบวช (ชาย - หญิง)
ภิกฺขุ ภิกฺขุ ภิกฺขุนี ภิกษุ, ภิกษุณี
ภวนฺต ภวํ โภตี ผู้เจริญ
มนุสฺส มนุสฺโส มนุสฺสี มนุษย์ (ชาย – หญิง)
ยกฺข ยกฺโข ยกฺขี ยกฺขินี ยักษ์, ยักษิณี
ยุว ยุวา ยุวตี ชายหนุ่ม, หญิงสาว
ราช ราชา ราชินี พระเจ้าแผ่นดิน พระราชินี
สข สขา สขี เพื่อน (ชาย - หญิง)
หตฺถี หตฺถี หตฺถินี ช้างพลาย, ช้างพัง

การจัดลิงค์  แบ่งเป็น 2 ลักษณะ

  1. จัดตามกำเนิด  คือ จัดลิงค์ให้ตรงตามกำเนิดเดิมของนามนั้น   เช่น
    ปุริโส    บุรุษ ผู้ชาย    กำเนิดเป็นปุงลิงค์    จัดให้เป็นปุงลิงค์
    อิตฺถี    หญิง    กำเนิดเป็นอิตถีลิงค์    จัดให้เป็นอิตถีลิงค์
    จิตฺตํ    จิต    กำเนิดเป็นนปุงสกลิงค์    จัดให้เป็นนปุงสกลิงค์
    (“บุรุษ  ผู้ชาย” เป็นคน เป็นเพศชาย  และกำหนดให้คำว่า ปุริส ที่หมายถึง บุรุษ  เป็นปุงลิงค์ – คือเป็นเพศชายเช่นเดียวกัน)
  2. จัดตามสมมุติ คือ จัดลิงค์ตามสมมุติของภาษา  ไม่ตรงตามกำเนิดเดิมของนามนามนั้น    เช่น
    ทาโร    เมีย    กำเนิดเป็นอิตถีลิงค์    สมมุติให้เป็นปุงลิงค์
    ปเทโส    ประเทศ    กำเนิดเป็นนปุงสกลิงค์    สมมุติให้เป็นปุงลิงค์
    ภูมิ     แผ่นดิน    กำเนิดเป็นนปุงสกลิงค์    สมมุติให้เป็นอิตถีลิงค์
    (“เมีย” เป็นเพศหญิง แต่สมมุติให้คำว่า ทาร ที่หมายถึง เมีย เป็นปุงลิงค์ - แทนที่จะเป็นอิตถีลิงค์)
    “แผ่นดิน” ไม่มีชีวิตวิญญาณ แต่สมมุติให้คำว่า ภูมิ ที่หมายถึง แผ่นดิน เป็นอิตถีลิงค์ – แทนที่จะเป็นนปุงสกลิงค์)

 

วจนะ

วจนะ แปลว่า คำ, คำพูด
ในทางไวยากรณ์  วจนะ แบ่งเป็น 2 คือ

  1. เอกวจนะ สำหรับเรียกของสิ่งเดียว
  2. พหุวจนะ สำหรับเรียกของมากกว่าสิ่งเดียว (คือ ตั้งแต่ 2 สิ่งขึ้นไป)

วจนะทั้ง 2 นี้ รู้ได้จากวิภัตติที่ลงท้ายศัพท์นั้นๆ  เช่น

ปุริโส ชายคนเดียว, กุลํ ตระกูลเดียว เป็นเอกวจนะ
ปุริสา ชายหลายคน, กุลานิ ตระกูลหลายตระกูล เป็นพหุวจนะ

 

วิภัตติ

วิภัตติ แปลว่า แจก, จำแนก  
วิภัตติ หมายถึง สิ่งที่ใช้จำแนกคำ (นามศัพท์) ตามหน้าที่ (การก) ต่างๆ ในประโยค และตามวจนะ  โดยลงวิภัตตินั้นที่ท้ายศัพท์
วิภัตติ เมื่อลงท้ายนามศัพท์แล้ว เปลี่ยนแปลงรูปศัพท์ไปต่างๆ  ตามกฎเกณฑ์ในลิงค์ และการันต์ นั้นๆ

(การที่ลงวิภัตติท้ายนามศัพท์แล้ว มักเปลี่ยนแปลงรูปศัพท์ไปต่างๆ ตามลิงค์ และการันต์  ฉะนั้น จึงสังเกตลิงค์ของศัพท์ ได้จากศัพท์ที่ลงวิภัตติแล้วนั่นเอง
โดยเฉพาะรูปศัพท์ที่ไม่มี/ไม่ค่อยมีในลิงค์อื่นๆ เช่น แม้ไม่ทราบมาก่อนว่า โอทน อิทฺธิ วตฺถ เป็นลิงค์อะไร 
แต่เมื่อเห็นศัพท์ โอทโน ก็คาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นปุงลิงค์, อิทฺธิยา น่าจะเป็นอิตถีลิงค์ และ วตฺถานิ น่าจะเป็นนปุงสกลิงค์ เป็นต้น)

วิภัตตินั้นมี 14 ตัว แบ่งเป็น เอกวจนะ 7   พหุวจนะ 7  ดังนี้

    เอกวจนะ พหุวจนะ   ชื่อเรียกวิภัตติตามอรรถกถา-ฎีกา
ปฐมา ที่ 1 สิ โย   ปจฺจตฺตวจนํ
ทุติยา ที่ 2 อํ โย   อุปโยควจนํ
ตติยา ที่ 3 นา หิ   กรณวจนํ
จตุตฺถี ที่ 4 นํ   สมฺปทานวจนํ
ปญฺจมี ที่ 5 สฺมา หิ   นิสฺสกฺกวจนํ
ฉฏฺฐี ที่ 6 นํ   สามี/สามิวจนํ
สตฺตมี ที่ 7 สฺมึ สุ   ภุมฺมวจนํ
(อาลปนะ)   (สิ โย)    

(ดู แบบท่องวิภัตตินาม และอายตนิบาต)
อาลปนวิภัตติ ไม่มีวิภัตติเป็นของตนเอง แต่ยืมปฐมาวิภัตติมาใช้

นามศัพท์ เมื่อลงวิภัตติแล้ว ก็มีความหมายต่อเนื่องกับคำอื่นได้   คำที่เชื่อมต่อความหมายของศัพท์ เรียกว่า อายตนิบาต (ตรงกับบุพบทในภาษาไทย)  

อายตนิบาต มีดังนี้

  วิภัตติฝ่ายเอกวจนะ วิภัตติฝ่ายพหุวจนะ
ปฐมา อ. (อันว่า)* *อ. - ท. (อันว่า … ทั้งหลาย)
ทุติยา ซึ่ง, สู่, ยัง, สิ้น, ตลอด, กะ, เฉพาะ ซึ่ง-ท., … ยัง-ท.
ตติยา ด้วย, โดย, อัน, ตาม, เพราะ, มี, ด้วยทั้ง ด้วย-ท., … อัน-ท.
จตุตฺถี แก่, เพื่อ, ต่อ แก่-ท., … ต่อ-ท.
ปญฺจมี แต่, จาก, กว่า, เหตุ, เพราะ แต่-ท., … เพราะ-ท.
ฉฏฺฐี แห่ง, ของ, เมื่อ แห่ง-ท., … เมื่อ-ท.
สตฺตมี ใน, ใกล้, ที่, ณ, บน, ครั้นเมื่อ, ในเพราะ ใน-ท., … ในเพราะ-ท.
อาลปนะ แน่ะ, ดูก่อน, ข้าแต่ แน่ะ-ท., … ข้าแต่-ท.

* อ. (อันว่า)  และ  ท. (ทั้งหลาย)  ใช้เฉพาะแปลโดยพยัญชนะ. ส่วนการแปลโดยอรรถ ปฐมาวิภัตติ ไม่ต้องมีคำอะไรนำหน้า และคำว่าทั้งหลาย ให้เขียนเต็ม ไม่ย่อ.
ปฐมาวิภัตติ และอาลปนะ ไม่มีสำเนียงอายตนิบาตคำเชื่อมต่อ  แต่ใช้คำว่า ‘อันว่า’ และ ‘แน่ะ ดูก่อน ข้าแต่’ แทน ตามลำดับ เพื่อเป็นเครื่องสังเกตวิภัตติ
ความจริง  “อันว่า” ไม่ใช่อายตนิบาต เพราะไม่ได้เชื่อมต่อคำใดๆ เข้าด้วยกัน  ไม่มีในแบบไวยากรณ์  แต่ภายหลังมีการกำหนดให้แปลเพิ่มเข้ามาด้วย

(ดู แบบท่องวิภัตตินาม และอายตนิบาต)

ปฐมาวิภัตติ ทำหน้าที่ 2 อย่าง  คือ

  1. เป็นประธาน
    เป็นประธาน(ในประโยค1)ที่มีกิริยาคุมพากย์ เรียกว่า สยกตฺตา  เช่น 
       อานนฺโท ธมฺมํ เทเสติ  พระอานนท์ ย่อมแสดง ซึ่งธรรม.
    เป็นประธาน(ในประโยค2)ที่ไม่มีกิริยาคุมพากย์ เรียกว่า ลิงฺคตฺถ  เช่น 
       มหาปญฺโญ อานนฺโท  พระอานนท์ ผู้มีปัญญามาก.
  2. เป็นอาลปนะ คำสำหรับร้องเรียก 
    อานนฺท, เอหิ.  ดูก่อนอานนท์ เธอ จงมา.

    1 หมายถึง ประโยคในวาจกทั้ง 5 ซึ่งต้องมีกิริยาคุมพากย์ (กิริยาใหญ่) เสมอ
    2 หมายถึง ประโยคทางสัมพันธ์ ประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่มีกิริยาคุมพากย์ และไม่อยู่ในประเภทของประโยคทั้ง 5 นั้น
    ลิงฺคตฺถ เป็นชื่อเรียกประธานของ ประโยคทางสัมพันธ์ ประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่มีกิริยาคุมพากย์
    (ลิงฺค-อตฺถ อรรถแห่งลิงค์ คือบอกเพียงว่าเป็นนามนามนั้น เป็นลิงค์ใด  มิได้บอกว่าเป็นประธานของกิริยาใดๆ - เพราะไม่ได้ทำกิริยา)
    สยกัตตา (ผู้ทำเองเป็นประธาน)  เหตุกัตตา (ผู้ใช้ให้ทำเป็นประธาน)  วุตตกัมม (กรรมเป็นประธาน)
    กิริยาคุมพากย์ = กิริยาคุมประโยค = กิริยาใหญ่ = กิริยาหลัก
    พากย์ (วากฺยํ) = ประโยค    พากยางค์ (วากฺย+องฺค)  = ส่วนของประโยค, วลี

การันต์

การันต์ คือ อักขระที่สุดแห่งศัพท์*  (สระท้ายศัพท์, สระท้ายคำ.  การ–อักษร, อนฺต–ที่สุด)

โดยย่อมี 6  คือ  อ  อา  อิ  อี  อุ  อู   
โดยพิสดารมี 13  คือ

ปุงลิงค์  มีการันต์ 5  คือ อิ อี อุ อู
อิตถีลิงค์ มีการันต์ 5  คือ อา อิ อี อุ อู
นปุงสกลิงค์ มีการันต์ 3  คือ อิ   อุ  

การันต์พิเศษบางศัพท์
โค (วัว)           = คฺ + โอ       โอการันต์            ปุงลิงค์    ไม่เจาะจงว่าตัวผู้หรือตัวเมีย
สา (หมา)        = สฺ + อา        อา การันต์          ปุงลิงค์    ไม่เจาะจงว่าตัวผู้หรือตัวเมีย
กึ (หรือ, อะไร)  = กฺ + อิ+ ํ      นิคคหิตการันต์    3 ลิงค์  เป็นสัพพนาม (หรือเป็นอัพยยศัพท์ ไม่มีลิงค์)

* เรียกว่า สระที่สุดแห่งศัพท์ ก็ได้ เพราะในภาษาบาลี คำต้องลงท้ายด้วยสระเท่านั้น ลงท้ายด้วยพยัญชนะไม่ได้ (ยกเว้น 'พยัญชนะพิเศษ' คือ นิคคหิต ตัวอย่างเช่น กึ - กิํ) 
ต่างจากภาษาสันสกฤต ที่ลงท้ายคำด้วยพยัญชนะได้  เช่นคำว่า วสี–วศินฺ ผู้มีอำนาจ, ปุริส–ปุรุษฺ บุรุษ, วิชฺชุ-วิทฺยุตฺ สายฟ้า, พุทฺธํ-พุทฺธมฺ

 

วิธีแจกนามนาม (ด้วยวิภัตติ)

การแจกวิภัตติ คือการลงวิภัตติท้ายนามนามแต่ละศัพท์  ตั้งแต่ปฐมาวิภัตติ เอกวจนะ  จนถึงอาลปนะ พหุวจนะ จนครบ
แสดงรูปศัพท์ที่มีการเปลี่ยนแปลง(หรือไม่เปลี่ยน)แล้ว

วิภัตตินั้น แจกตามการันต์และลิงค์  ศัพท์ที่การันต์และลิงค์เหมือนกัน ให้แจกเป็นแบบเดียวกัน 
เช่น ปุริส อาจริย ปณฺฑิต  เป็น อ การันต์ ปุงลิงค์ เช่นเดียวกัน  ให้แจกตามแบบ อ การันต์ ปุงลิงค์ (ในแบบ แจก ชน/ปุริส ศัพท์ ให้ดูเป็นตัวอย่าง)

(ดู แบบแจกนามนามใน 3 ลิงค์ และตัวอย่างนามนาม)

 

กติปยศัพท์

กติปยศัพท์ หมายถึง หมายถึง ศัพท์จำนวนเล็กน้อย 12 ศัพท์  มีวิธีแจกเป็นของตนเองโดยเฉพาะ  ไม่แจกอย่างศัพท์ทั่วๆ ไป ได้แก่
(ดู แบบแจกกติปยศัพท์)

      ปุ. อิต. นปุ.  
1. อตฺต ตน อตฺตา - - ใช้เอกวจนะอย่างเดียว
2. พฺรหฺม พรหม พฺรหฺมา - -  
3. ราช พระราชา    ราชา ราชินี * -  
4. ภควนฺตุ พระผู้มีพระภาค ภควา - -  
5. อรหนฺต พระอรหันต์ อรหํ อรหา อรหนฺตี * -  
6. ภวนฺต ผู้เจริญ ภวํ โภตี * -  
7. สตฺถุ พระศาสดา สตฺถา - -  
8. ปิตุ บิดา ปิตา - -  
9. มาตุ มารดา - มาตา -  
10. มน ใจ มโน - มนํ **  
11. กมฺม กรรม - - กมฺมํ  
12. โค วัว โค - - ไม่เจาะจงว่าตัวผู้หรือตัวเมีย

* แจกอย่าง นารี    ** แจกอย่าง มน ปุ.  ยกเว้น ป. ทุ. อา. แจกอย่าง กุล

อตฺต [ตน - self]  ปุงลิงค์  ใช้เอกวจนะอย่างเดียว

  1. แจกได้ทั้ง 2 วจนะ แต่มีใช้ในเอกวจนะอย่างเดียว และเป็นปุงลิงค์เท่านั้น
  2. กรณีกล่าวถึงนามศัพท์ พหุวจนะ หลายคนหลายสิ่ง 
    ถ้าต้องการแสดงว่า แต่ละคนแต่ละสิ่งนั้น ทำหรือได้รับผลเช่นเดียวกันทั้งหมด เป็นต้น  ให้เขียนไว้คู่กัน 2 บท
    (เป็นการกล่าวซ้ำเพื่อให้แผ่ไปในทุกที่ เรียกว่า วิจฉาโยค)  เช่น
    พาลา อตฺตโน อตฺตโน กมฺเมหิ ตปฺปนฺติ.  
      คนพาล ท. ย่อมเดือดร้อน เพราะกรรม ท. ของตนๆ.     (คนพาลแต่ละคน ทุกคน เดือดร้อนเพราะกรรม(ชั่ว) ของตน)
    ภิกฺขู  อตฺตโน อตฺตโน ปตฺตจีวรํ อาทาย อคมํสุ.   
      ภิกษุ ท. ถือเอาบาตรและจีวรของตนๆ ได้ไปแล้ว.     (ภิกษุแต่ละรูป ทุกรูป มีบาตรและจีวรของตน)
    เถรา อาสเน อาสเน นิสีทึสุ.  (พระเถระแต่ละรูป ทุกรูป นั่งบนอาสนะ)
  3. อตฺต ศัพท์อยู่หน้า ชน ธาตุ ที่ลง กฺวิ ปัจจัย  แปลง ต เป็น ร  เช่น
    มาตาปิตา จ  นิจฺจํ  อตฺรชํ ปุตฺตกํ รกฺขนฺติ.   (อตฺต-ชน-กฺวิ)
       ก็  มารดาและบิดา ท.  ย่อมรักษา  ซึ่งบุตรน้อย  ผู้เกิดในตน เป็นนิตย์  (หรือ จากตน)
  4. สยํ สามํ    เป็น นิบาต  แปลว่า เอง, ด้วยตนเอง (=อตฺตนา)
      เอกจฺโจ สยํ ทานํ เทติ  ปรํ น สมาทเปติ.    คนบางคนให้ทานเอง (แต่) ไม่ชักชวนผู้อื่น.
      มยา สามํ อกฺขีหิ ทิฏฺฐํ.     รูปนั้น อันเรา เห็นแล้ว ด้วยนัยน์ตา ท. เอง
    ส สก  เป็น คุณนาม  แปลว่า อันเป็นของตน (=อตฺตโน)  (ปุ. โส สโก  อิต. สา สกา  นปุ. สํ สกํ)
      พาโล  เสหิ กมฺเมหิ  ตปฺปติ.    คนพาล ย่อมเดือดร้อน  เพราะกรรม ท.  อันเป็นของตน.
      มนุสฺสา  สกานิ ฐานานิ  คจฺฉนฺติ.    มนุษย์ ท.  ย่อมไป  สู่ที่ ท.  อันเป็นของตน.

พฺรหฺม [พรหม - Brahma] ปุงลิงค์

  1. ศัพท์บางศัพท์ แปลง สฺมึ วิภัตติเป็น นิ ได้   เช่น  จมฺมนิ ในหนัง,  มุทฺธนิ บนยอด  เป็นต้น
    ตย. มุทฺธนิ เตลกํ น้ำมัน(สำหรับทา)บนศีรษะ,  อุปริมุทฺธนิ อากิริตฺวา พ่นลงบนกระหม่อม…
  2. พฺรหฺม แม้มีศัพท์อื่นนำหน้า ก็คงแจกเช่นเดิม เช่น มหาพฺรหฺมา

ราช [พระราชา - king]  ทวิลิงค์ (ปุ. อิต.)

ใน ปุ.  แจกตามแบบของตน 
ใน อิต.  ลง อินี ปัจจัย เป็น ราชินี   แจกอย่าง นารี

  1. ราช ศัพท์ เมื่อเข้าสมาสกับศัพท์อื่น   แจกอย่าง ชน  ต่างกันเฉพาะ ป.เอก. มหาราชา  พหุ. มหาราชาโน   อา.พหุ. มหาราชาโน
  2. ราช ศัพท์ แม้เข้าสมาสแล้ว จะแจกอย่าง ราช ศัพท์ ตามเดิมก็ได้  (เฉพาะวิเสสนบุพบท และวิเสสนุตตรบท กัมมธารยสมาส เท่านั้น)

ภควนฺตุ [พระผู้มีพระภาค - Bhagavantu] ปุงลิงค์

  1. ภควนฺตุ ศัพท์ มาจากศัพท์นามนามคือ ภค (ภาค, ส่วน, โชค, สิริ ฯลฯ)  ลง วนฺตุ ปัจจัย (ในตทัสสัตถิตัทธิต) สำเร็จเป็น ภควนฺตุ แปลว่า ผู้มีภาค เป็นต้น เป็นคุณนาม แต่ใช้เป็นนามนาม ปุงลิงค์ อย่างเดียว แปลว่า พระผู้มีพระภาค หมายถึงพระพุทธเจ้าเท่านั้น  ไม่ใช้เป็นคุณนามของศัพท์อื่น
    ศัพท์ที่แจกอย่าง ภควนฺตุ
    อายสฺมนฺตุ (อายสฺมา)  คนมีอายุ              ธิติมนฺตุ (ธิติมา)        คนมีปัญญา
    คุณวนฺตุ (คุณวา)       คนมีคุณ              ปญฺญวนฺตุ (ปญฺญวา) คนมีปัญญา
    จกฺขุมนฺตุ (จกฺขุมา)     คนมีจักษุ             ปุญฺญวนฺตุ (ปุญฺญวา) คนมีบุญ
    ชุติมนฺตุ (ชุติมา)         คนมีความโพลง     พนฺธุมนฺตุ (พนฺธุมา)   คนมีพวกพ้อง
    ธนวนฺตุ (ธนวา)          คนมีทรัพย์           สติมนฺตุ (สติมา)       คนมีสติ
  2. ศัพท์ที่ลงท้ายด้วย วนฺตุ มนฺตุ อิมนฺตุ ปัจจัย ในตัทธิต  สำเร็จเป็นคุณนาม เป็นได้ 3 ลิงค์
      ใน ปุงลิงค์ แจกอย่าง ภควนฺตุ
      ใน อิตถีลิงค์ ลง อี ปัจจัย ได้รูปเป็น คุณวนฺตี คุณวตี  แจกอย่าง นารี
      ใน นปุงสกลิงค์ แจกอย่าง ภควนฺตุ  ต่างกันเฉพาะ
        ป.    คุณวนฺตํ คุณวํ    คุณวนฺตานิ
        ทุ.    คุณวนฺตํ    คุณวนฺตานิ
        อา.   คุณว    คุณวนฺตานิ
      วนฺตุ ปัจจัย    ใช้ประกอบกับศัพท์ที่เป็น อ การันต์
      มนฺตุ ปัจจัย    ใช้ประกอบกับศัพท์ที่เป็น อิ อุ การันต์
      อิมนฺตุ ปัจจัย   ใช้ประกอบกับศัพท์ได้ทั่วไป
  3. ศัพท์ที่ลง อนฺต ปัจจัย แจกอย่าง ภควนฺตุ ได้ เช่น มหนฺต ลภนฺต (เว้น ป. เอก. ปุ. นปุ. เป็นรูป -อํ เช่น ลภํ)
  4. อายสฺมนฺตุ (ผู้มีอายุ  อายุ-มนฺตุ  แปลง อุ ที่ อายุ เป็น อสฺ)
    เป็น คุณนาม   เช่น อายสฺมา สารีปุตฺโต  พระสารีบุตร ผู้มีอายุ  (แปลโดยอรรถว่า ท่านพระสารีบุตร)
    เป็น นามนาม ปุงลิงค์  เช่น  อายสฺมา ท่านผู้มีอายุ, คนมีอายุ, ท่าน (ใช้คล้าย ตุมฺห ศัพท์)
  5. เฉพาะ สิริมนฺตุ (ผู้มีสิริ)  อิตถีลิงค์มีรูปเป็น สิริมา แจกอย่าง กญฺญา

อรหนฺต [พระอรหันต์ - arahanta, saint]  เป็น ทวิลิงค์

ใน ปุ.  แจกเหมือน ภควนฺตุ   เว้นแต่ ป. เอก. เป็น อรหา อรหํ เท่านั้น
ใน อิต. ลง อี ปัจจัย เป็น อรหนฺตี  แจกอย่าง นารี

คำว่า อรหา ใช้กับพระอรหันต์ทั่วไป   ส่วนคำว่า อรหํ ใช้กับพระพุทธเจ้าเท่านั้น

ภวนฺต [ผู้เจริญ]  ทวิลิงค์ (ปุ., อิต.)

ใน ปุ.  แจกตามแบบของตน
ใน อิต.  แปลงเป็น โภต  ลง อี ปัจจัย เป็น โภตี  แจกอย่าง นารี

สตฺถุ [ผู้สอน, ศาสดา; พระศาสดา - teacher]  ปุงลิงค์

  1. ถ้าเป็นเอกวจนะ หมายถึง พระพุทธเจ้าเท่านั้น  แปลว่า พระศาสดา
  2. ถ้าเป็นพหุวจนะ หมายถึง
    2.1 ครูสอนลัทธิอื่นนอกจากพระพุทธศาสนา (พาหิรคณาจารย์ เช่น ครูทั้ง 6 มีปูรณกัสสปะเป็นต้น - ปูรณกสฺสปาทโย ฉ สตฺถาโร)
    2.2 พระพุทธเจ้าในอดีต หรือ อนาคต เพราะต้องการเรียกหลายพระองค์รวมกัน  อาจมีศัพท์บอกกาล กำกับอยู่  เช่น อตีเต ปุพฺเพ อนาคเต
  3. ศัพท์นามกิตก์ ที่ประกอบด้วย ตุ ปัจจัย แจกอย่าง สตฺถุ  
    กตฺตุ ผู้ทำ            เนตุ ผู้นำไป  ขตฺตุ ผู้ขุด     หนฺตุ ผู้ฆ่า
    ภตฺตุ ผู้เลี้ยง, ผัว    ญาตุ ผู้รู้      วตฺตุ ผู้กล่าว
    ทาตุ  ผู้ให้            โสตุ ผู้ฟัง     นตฺตุ หลาน
    ยกเว้น ปิตุ มาตุ แจกเฉพาะตน,
    ชนฺตุ สัตว์(เกิด), ผู้เกิด แจกอย่าง ครุ

ปิตุ [บิดา - father]  ปุงลิงค์

  1. ในอาลปนะ  ใช้ ตาต แทน ปิตา  ตาตา แทน ปิตโร เสมอ  (เอก. ตาต   พหุ. ตาตา)   มีวิธีใช้ดังนี้
    2.1  ใช้สำหรับ บิดา มารดา เรียกบุตร  เช่น 
        พฺราหฺมโณ  ปุตฺตํ  อาห   ‘ตาต,  ตฺวํ  คจฺฉาติ.    พราหมณ์  กล่าวแล้ว  กะบุตร  ว่า  ‘ดูก่อนพ่อ  เจ้า  จงไป’ ดังนี้.
    2.2  ใช้สำหรับ บุตร ธิดา เรียกบิดา   เช่น
        อุปฺปลวณฺณา  ปิตรํ  อาห   ‘ตาต,  อหํ  ปพฺพชิสฺสามี’ติ.    นางอุบลวรรณา  กล่าวแล้ว  กะบิดา  ว่า  ‘ข้าแต่พ่อ,  ฉัน  จักบวช’ ดังนี้.
    2.3  ใช้เรียกผู้ชายที่ คุ้นเคย นับถือกัน  เช่น
       มหาปาโล  กนิฏฺฐํ  อาห   ‘ตาต,  ตฺวํ  ตํ  ธนํ  ปฏิปชฺชาหี’ติ.    มหาปาละ  กล่าวแล้ว  กะน้องชาย  ว่า  ‘ดูก่อนพ่อ,  เจ้า  จงปฏิบัติ  ซึ่งทรัพย์ นั้น’ ดังนี้.
       อาจริโย  สิสฺเส  อาห  ‘ตาตา,  ตุมฺเห  อิมํ  เอฬกํ  นทึ  เนถา’ติ.    อาจารย์  กล่าวแล้ว  กะศิษย์ ท. ว่า  ‘ดูก่อนพ่อ ท.  เจ้า ท.  จงนำไป  ซึ่งแกะ นี้  สู่แม่น้ำ  ดังนี้.
  2. ตาต ศัพท์ ที่เป็นอาลปนะ ใช้เรียกได้ทั้งบิดาทั้งบุตร   ถ้าเป็นวิภัตติอื่น เป็นชื่อของบิดาอย่างเดียว
  3. ภาตุ พี่ชายน้องชาย   ชามาตุ  ลูกเขย   2 ศัพท์นี้ แจกอย่าง ปิตุ
    ภาตุ ใช้ ภาติก แทนได้  และแจกอย่าง ชน

มาตุ [มารดา - mother]  อิตถีลิงค์

  1. ในอาลปนะ  ใช้ อมฺม แทน มาตา   อมฺมา แทน มาตโร เสมอ  (เอก. อมฺม   พหุ. อมฺมา)
    มีวิธีใช้ดังนี้
    1.1    ใช้สำหรับ บิดา มารดา เรียกธิดา
    1.2    ใช้สำหรับ บุตร ธิดา เรียกมารดา
    1.3    ใช้เรียกหญิงที่คุ้นเคย นับถือกัน
  2. ธีตุ ธิดา  แจกอย่าง มาตุ
  3. ในตัปปุริสสมาส  ใช้อาลปนะเป็น มาเต, ธีเต   เช่น   ติสฺสมาเต ดูก่อนแม่ติสสะ,  
    เทวมาเต ดูก่อนแม่เทวะ,  เทวธีเต  ดูก่อนแม่เทพธิดา

ปิตุ มาตุ ศัพท์

  1. ปิตุ มาตุ  ถ้าลง โต ปัจจัย หรือลงท้ายด้วย ภร ปกฺข สญฺญา ศัพท์  ให้แปลง อุ เป็น อิ  เช่น
    ปิติโต ข้างบิดา-ฝ่ายบิดา, มาติโต ข้างมารดา-ฝ่ายมารดา, 
    มาตาเปตฺติภโร ผู้เลี้ยงดูมารดาบิดา, ปิติปกฺโข ข้างบิดา-ฝ่ายบิดา  
    แม้ศัพท์อื่นที่คล้ายกัน ก็ทำเช่นเดียวกันได้  เช่น  ภาติโต ข้างพี่น้องชาย
  2. ถ้าต้องการจะเรียกรวมทั้งบิดามารดา  ใช้ว่า อมฺมตาตา  ดูก่อนแม่และพ่อ ท.
  3. ในศัพท์สมาส  เมื่อลง ตติยาถึงสัตตมีวิภัตติ เอก. แปลง อุ เป็น อา  แปลงวิภัตติเป็น ยา ได้บ้าง เช่น ราชมาตาย, กาณมาตาย, นนฺทมาตาย, โกฬิยธีตาย. 
    (แม้ไม่เข้าสมาสก็มีรูปเช่นนี้บ้าง เช่น ธีตาย ทินฺนทาเนน)
  4. ในภาษาบาลี เมื่อนำ 2 ศัพท์นี้มาต่อกัน ให้เรียงมารดาไว้หน้าบิดา เช่น 
    มาตาปิตโร   มารดาและบิดา ท.  
    ชายปติกา    เมียและผัว ท. 
    ภคินีภาตโร   พี่น้องหญิงและพี่น้องชาย ท.  
    สสฺสุสสุรา     แม่ผัวและพ่อผัว ท., 
    ทาสีทาสา    ทาสีและทาส ท.  
    (ยกเว้น ปุตฺตธีตโร บุตรและธิดา ท.)

มน [ใจ - mind]  ทวิลิงค์ (ปุ., นปุ.)

เป็น อ การันต์  แจกอย่าง ชน หรือ กุล    ต่างกันเฉพาะ 5 วิภัตติ  คือ ต. จ. ปญฺ. ฉ. ส.  เอก. เท่านั้น    คือ  นา และ สฺมา เป็น อา,  ส ทั้งสองเป็น โอ,  สฺมึ เป็น อิ   แล้วลง ส อาคม  เป็น สา, เป็น โส,  เป็น สิ.

แจก มน ศัพท์  ปุงลิงค์  อ การันต์

  เอก. พหุ.
ป. มโน มนา
ทุ. มนํ (มโน) มเน
ต. มนสา มเนหิ
จ. มนโส มนานํ
ปญฺ. มนสา มเนหิ
ฉ. มนโส มนานํ
ส. มนสิ มเนสุ
อา. มน มนา

ในนปุงสกลิงค์ แจกเหมือนในปุงลิงค์  ยกเว้น ป. ทุ. อา. แจกอย่าง กุล

มน ศัพท์ ใช้ได้ทั้ง 2 วจนะ แต่ยังไม่พบที่ใช้เป็นพหุวจนะ

  1. ศัพท์พวก มน  ซึ่งแจกอย่าง มน เรียกว่า มโนคณศัพท์   มีทั้งหมด 12 ศัพท์ คือ
    มน    ใจ       ตป    ความร้อน
    เจต    ใจ       ตม    ความมืด
    วย    วัย        ปย    น้ำนม
    สิร    หัว        อย    เหล็ก
    อุร    อก        ยส    ยศ
    วจ    วาจา     เตช    เดช
    เฉพาะ มน ศัพท์ เป็น ปุ.  นปุ.    นอกนั้นเป็น ปุ. อย่างเดียว
  2. บทที่ลงทุติยาวิภัตติ ที่ใช้เป็นกรรม  แปลง อํ เป็น โอ ได้   เช่น
    อทาเน  กุรุเต  มโน. (=ชโน อทาเน มนํ กโรติ.)  ชน ย่อมทำ ซึ่งใจ ในการไม่ให้.
    ยโส ลทฺธา  น  มชฺเชยฺย. (=ชโน ยสํ ลภิตฺวา  น มชฺเชยฺย.)   ชน ได้แล้ว ซึ่งยศ ไม่พึงเมา.
  3. เมื่อเป็นบทสมาส หรือตัทธิต   เอา อ การันต์เป็น โอ ได้   เช่น 
    มน-คณ    มโนคโณ    หมู่แห่งมนศัพท์    
    มน-เสฏฺฐ    มโนเสฏฺฐา     มีใจประเสริฐที่สุด    
    มน-มย    มโนมยา     อันสำเร็จด้วยใจ  (มย ปัจ. ตัท.)
    มน-ธาตุ    มโนธาตุ    ธาตุคือใจ
    เตช-ธาตุ    เตโชธาตุ    ธาตุคือไฟ
    ตม-นุท    ตโมนุโท    ผู้บรรเทาความมืด    
    อย-มย    อโยมยํ    อันทำด้วยเหล็ก (มย ปัจ. ตัท.)
  4. ศัพท์อื่น แม้มิใช่เป็น มโนคณะศัพท์  เข้าสมาสแล้ว  เอา อ การันต์เป็น โอ ได้บ้าง   เช่น 
    อโห อหํ วัน,  รโช รชํ ฝุ่น ธุลี,  วาโย ลม,  อาโป น้ำ, สรโท ฤดูกาล 
    อห-รตฺติ    อโหรตฺติ    วันและคืน    
    รช-หรณํ    รโชหรณํ    ผ้าเช็ดฝุ่น
    วาย-ธาตุ    วาโยธาตุ    ธาตุคือลม    
    อาป-ธาตุ    อาโปธาตุ    ธาตุคือน้ำ
    สรท-สต    สรโทสตํ    ร้อยฤดูกาล (ร้อยปี)
  5. ศัพท์ที่แปลง สฺมา ถึง สฺมึ วิภัตติ ได้เหมือน มน ศัพท์ มี 8 ศัพท์ คือ
    พลํ กำลัง       มุขํ หน้า               ทโม การฝึก       พิลํ ช่อง, โพรง
    ถาโม กำลัง    ปทํ ปโท รอยเท้า    วาโห เกวียน      ชโร ชรา ความแก่
  6. ศัพท์อื่น แม้มิใช่เป็น มโนคณะศัพท์  ถ้าเป็น อ การันต์  ก็แปลงเช่นนี้ได้บ้าง
    เอา นา วิภัตติ เป็น โส บ้าง  เช่น
       สุตฺตโส โดยสูตร    พฺยญฺชนโส โดยพยัญชนะ    ถามโส โดยเรี่ยวแรง
       อุปายโส โดยอุบาย    ฐานโส โดยฐานะ
    เอา สฺมา วิภัตติ เป็น โส บ้าง  เช่น
       ทีฆโส จากส่วนยาว    อุรโส จากอก

กมฺม [กรรม - kamma, karma] นปุงสกลิงค์ 

แจกอย่าง กุล   เฉพาะ  ต. จ. ปญฺ. ฉ. ส. เอก.  แจกอย่างนี้ก็ได้

ต.    กมฺมุนา
จ.    กมฺมุโน
ปญฺ.    กมฺมุนา
ฉ.    กมฺมุโน
ส.    กมฺมนิ

โค [วัว - cow]  ปุงลิงค์

โค ศัพท์  ใช้ไม่เจาะจงว่าวัวตัวผู้หรือตัวเมีย
ถ้าเป็นตัวผู้ ใช้ โคณ ปุงลิงค์  แจกอย่าง ชน   ตัวเมีย ใช้ คาวี อิตถีลิงค์  แจกอย่าง นารี

ศัพท์ 6 ศัพท์ เหล่านี้ มีที่ใช้เฉพาะปฐมาวิภัตติ เอกวจนะ คือ มฆวา, ปุมา, ยุวา, สขา, สา  และ อทฺธา ใช้เฉพาะเอกวจนะ

  • มฆว (ชื่อพระอินทร์)  ปุ.   ป. เอก.  มฆวา
    ปุม (ชาย)  ปุ.   ป. เอก. ปุมา
    ยุว (ชายหนุ่ม)  เป็น 2 ลิงค์  ใน ปุ.  ป. เอก. ยุวา        อิต. เป็น ยุวตี แจกอย่าง นารี
    สข (เพื่อน)   เป็น 2 ลิงค์  ปุ. ใช้แต่ ป. เอก. สขา        อิต. เป็น สขี แจกอย่าง นารี
    สา (หมา)  ปุงลิงค์   ป. เอก. สา  ใช้ไม่เจาะจงว่าสุนัขตัวผู้หรือตัวเมีย
      ถ้าเป็นตัวผู้ ใช้ สุนข ปุงลิงค์ แจกอย่าง ชน    ตัวเมีย ใช้ สุนขี อิตถีลิงค์ แจกอย่าง นารี
  • อทฺธา (กาลยาวนาน, หนทางไกล)  ปุ. เอก. บางวิภัตติ
    ป. อทฺธา  
    ทุ. อทฺธานํ   
    ต. อทฺธุนา
    จ. ฉ. อทฺธุโน
    ส. อทฺธาเน
    * อทฺธา ที่เป็นนิบาต แปลว่า แน่แท้, แน่นอน